แผ่นภาพสี ขนาดบูชา หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา

หลวงพ่อ คูณ ปริสุทฺโธ
วัดบ้านไร่ ตำบล กุดพิมาน อำเภอ ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา...

ประวัติ

หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ  บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชือ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (บางตำราว่าวันที่ ๔ ตุลาคม) ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน เป็นบุตรชายคนหัวปี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ

๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส
๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์

มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า...

เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขอำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป

และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย

"ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง"

การศึกษา

เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย

อุปสมบท

หลวงพ่อคูณอุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หนังสือบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ

หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์

ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา  (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง)

หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก

หลวงพ่อคูณตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า...

" เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา"

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ

๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง

๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด...

หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ

หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้กับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานเน้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า...

"อนิจจัง ไม่เที่ยง
ทุกขัง เป็นความทุกข์
อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเราและของเขา

และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ

พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้
พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้
พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้
พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้
พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว"

ส่วนพระกัมฏฐานนั้น หลวงพ่อคงได้สอนให้ใช้หมวดอนุสติ โดยดึงเอาวิธีกำหนด “ความตาย” เป็นอารมณ์ เรียกว่า “มรณัสสติ” เพื่อให้ เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงในในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ประมาทในความโลภ ความโกรธ และความหลง กำหนดลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เกิด สัมมาสมาธิ เรียกว่า “อานาปานสติ”

เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง

สู่มาตุภูมิ

หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศเขมรสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทาง พระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ โดยชาวบ้านได้ช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้น ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จแล้ว ต้องเผชิญกับการขนย้ายที่ยากลำบาก โดยอาศัยโคเทียมเกวียนบ้าง ใช้แรงงานคนลากจูง บนทางที่แสนทุรกันดาร เนื่องจากถนนทางเกวียนนั้นเป็นดินทรายเสียส่วนใหญ่ เมื่อต้องรับน้ำหนักมากก็มักทำให้ล้อเกวียนจมลงในทราย การชักจูงไม้แต่ละเที่ยวจึงต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน

แต่กระนั้นหลวงพ่อก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน) นอกจากสร้างพระอุโบสถแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ยังความสะดวกสบาย และความเจริญในบ้านไร่ยิ่งนัก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว เนื่องจากหลวงพ่อได้เปลี่ยนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวทั้งหมด มาเป็นปูนเป็นอิฐให้สวยงามและทนทานยิ่งขึ้น

นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น หลวงพ่อยังได้สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ

สร้างวัตถุมงคล

หลวงพ่อคูณสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว ๗ พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคล ซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.๒๔๙๓

“ใครขอ กูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน” เป็นคำกล่าวของท่าน เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ เมื่อมีผู้ถามว่า หลวงพ่อแจกให้กับคนไม่ดีเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนี้หลวงพ่อไม่บาปหรือ

“กูจะไปรู้หรือว่ามันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจร เมื่อมันได้รับประโยชน์จากของที่กูแจก มันคงคิดได้ว่า เป็นเพราะพระศาสนา มันจะได้เข้ามาสนใจปฏิบัติธรรม….”

“ถ้ามีใจอยู่กับ “พุทโธ” ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง… ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก”

การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณจะใช้คาถาไม่กีบท

หัวใจพระคาถามีว่า

มะอะอุ
นะมะพะธะ
นโมพุทธายะ
พุทโธ และยานะ

แต่ในการปลุกเสก หลวงพ่อคูณจะใช้วิธี อนุโลมปฏิโลม (การต่อตามและย้อนลำดับ) เรียกว่า คาบพระคาถา

เมื่อนำหัวใจธาตุ ๔ คือ นะมะพะธะ มาใช้ หลวงพ่อคูณจะภาวนาด้วยจิตอันเป็นหนึ่ง(สมาธิ) ให้อักขระทั้ง ๔ นี้ เป็น ๑๖ อักขระ ดังนี้

นะ มะ พะ ธะ
มะ พะ ธะ นะ
พะ ธะ นะ มะ
ธะ นะ มะ พะ

ระยะเวลาการปลุกเสกของท่านใช้เวลาไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับอารมณ์จิต ท่านเคยปรารภว่าเมื่อจะปลุกเสกวัตถุใด ใจต้องเป็นสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิ ปลุกเสกสิ่งใดก็ขลัง ระยะเวลาหนึ่งนาทีก็ดีแล้ว แต่หากใจไม่เกิดสมาธิ ปลุกเสกทั้งคืนทั้งวันก็ไม่มีผล อย่างนี้สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า

ท่านั่งยอง

หลวงพ่อให้เหตุผลว่า เป็นท่าที่สบายที่สุด อีกทั้งเป็นลักษณะของคนเตรียมพร้อมที่ลุกเดินไปไหนมาไหนได้ทันที จะหยิบจับอะไรก็ง่ายและสะดวกในการทำงาน

การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ

หลวงพ่อคูณได้จัดสร้างโรงพยาบาลถึง 3 หลัง ตลอดจนโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้บริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ ทุกๆวัน แต่ละเดือนเป็นจำนวนหลายแสนบาท

"หลวงพ่อเป็นคนยากจนมาโดยกำเนิด จึงอยากคิดช่วยเหลือคนอื่น การนำเงินออกไปช่วยคนอื่น ก็จะมีคนบริจาคเรื่อยๆ ถ้าเก็บไว้จะทำให้ตนตาบอด ใจก็บอดอีกด้วย จึงอยากช่วยคนอื่นอยู่เรื่อยไป วันใดไม่มีคนมาขอเงิน ก็ไม่ค่อยสบายใจ

ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ

หลวงพ่อคูณสั่งว่า เมื่อมีพระเครื่องของหลวงพ่อคูณติดตัว ให้ภาวนา "พุทโธ" ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอ ค่าพ่อแม่ตน และพ่อแม่บุคคลอื่น และอย่าผิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ให้สวยมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และหวงพ่อคูณย้ำว่า "ถ้ามีใจอยู่กับ พุทโธ ให้เป็นกลาง ๆ ไม่สอดส่ายไปที่ไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง...ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใด ๆ ในโลก"

คาถาที่หลวงพ่อคูณใช้บริกรรมเวลานั่งสมาธิ

เวลาหายใจเข้า ให้บริกรรมว่า ตาย

เวลาหายใจออก ให้บริกรรมว่า แน่

เป็นตายแน่... ตายแน่... ตายแน่ไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกสบาย จิตสงบ

 

 

แผ่นภาพสี ขนาด 7*10 นิ้ว ปี 36 หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา

 

ดูรายละเอียด วัตถุมงคล ต่างๆได้ที่     http://www.itti-patihan.com

 

ที่ จ.นครราชสีมา วีรพงษ์ เหรียญประเสริฐ  ผู้สื่อข่าวพิเศษสยามดารารายงานว่า ที่ตัว อ.เมือง เขตเทศบาลนครนครราชสีมา มีเสียงร่ำลือที่ต่างพูดกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะนักเสี่ยงโชค ว่าพบมีรูปภาพ พระเทพวิทยาคม หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งภาคอีสาน เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด ด้วยท่านั่งยองๆ หัวเราะ สูบยาเส้นมวนโต แบบฉบับดั่งเดิม  เป็นที่เคารพเลื่อมใสและศรัทธาของญาติโยมศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะเกี่ยวกับตัวของหลวงพ่อคูณ

 มีบรรดานักเสี่ยงโชคที่ชอบเสาะแสวงหาเลขเด็ด และมีหลายคนที่ชอบเลขที่เกี่ยวกับหลวงพ่อคูณที่ชอบซื้อลอตเตอรี่ทุกงวด เพราะหลายต่อหลายงวดที่มีคนถูกลอตเตอรี่จำนวนไม่ใช่น้อย และยิ่งได้พบเห็นรูปภาพของหลวงพ่อคูณติดแขวนอยู่ฝาผนังของร้านจำหน่ายพระเครื่องในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ตั้งอยู่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง

 ทำให้เป็นที่ฮือฮากันอย่างมาก มีนักเสี่ยงโชควนเวียนไปขอชมรูปภาพ และมีลายมือของหลวงพ่อคูณของแท้ดั้งเดิม พร้อมเขียนยันต์ อักขระโบราณ มอบให้กับเจ้าของร้าน เพื่อเป็นสิริมงคล ทำมาค้าขายรวย มีโชค มีลาภ ครอบครัวอบอุ่น โดยเฉพาะยันต์ที่เขียนไว้ นักเสี่ยงโชคไม่ดูแบบธรรมดา

 แต่ดูไปมองไปเขียนเลขใส่กระดาษ ได้เลขที่ออกมา 275, 287, 57 นอกจากนี้เลขอายุของหลวงพ่อคูณ 84 ปี และเลข พ.ศ.เกิด 2466 ก็นำไปตีเป็นเลขเด็ด 466 และเลขวันเกิดวันที่ 4 ตุลาคม ก็ตีเป็น 484 รวมทั้งตีเลขมวนยาสูบ 1 รวมกับวันเกิดเป็น 14 

 ซึ่งในตอนนี้เลขดังกล่าวมีบรรดานักเสี่ยงโชคเกือบทุกสาขาอาชีพพากันซื้อหากันไปหมด โดยบรรดาเจ้าของแผงจำหน่ายได้เขียนเลขดังเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเขียนคำว่า เลขชุดทีเด็ดหลวงพ่อคูณ

 นายสมควร เนตรดีสอน อายุ 54 ปี กล่าวว่า ตนเป็นคนที่ชอบเสี่ยงโชค มีอาชีพค้าขายผลไม้ และตนจะซื้อเลขเกี่ยวกับหลวงพ่อคูณเกือบทุกงวด เพราะเมื่อปีกลายเลขเด็ดที่ตนถูกสามตัวตรงเผง ได้เงินกว่า 5 แสนบาท ทั้งถูกลอตเตอรี่ ถูกหวยบนดิน และงวดนี้และงวดหน้าตนก็จะซื้อเลขชุดนี้

 เพราะตนเป็นคนโคราชเคารพนับถือศรัทธาหลวงพ่อคูณ ท่านเป็นพระที่มีเมตตา มีบุญบารมี มีญาณแกร่งกล้า รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ท่านไม่พูดตรงๆ เท่านั้นเอง งวดนี้ซื้อไว้ไม่มากแค่ 8,000 บาท แต่ในงวดหน้าที่จะมีการจำหน่ายหวยบนดิน เจอกัน คิดว่าจะทุ่มซื้อด้วยความมั่นใจ แต่คงบอกไม่ได้ว่าจะซื้อเท่าไร เพราะเดี๋ยวจะหาว่า ถูกมอมเมา

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

“ปุ้ย” พิมลวรรณ ศุภยางค์ เป็นอีกหนึ่ง “สาวดัง” ทางช่อง 3 ที่โด่งดังมาพร้อมเพื่อนร่วมรุ่นทั้ง “กาละแมร์ พัชรศรี, ไก่ มีสุข” และ “ปอ อรปรียา” ที่เพิ่งสละโสดไปเมื่อปลายปีกับรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” จึงถือได้ว่าเป็น “สาวเก่ง” ในยุค “ดิจิตอล” เบ่งบานอีกคนนอกจากนี้ยังใช้เวลาว่างที่เหลือจากงาน “อ่านข่าว” พร้อมจัดรายการและพิธีกรรายการต่าง ๆ แล้วยังควักกระเป๋า “ร่วมหุ้น” กับ “ไก่ มีสุข” เปิดธุรกิจรักษาความงามและสุขภาพ “สปาแป้งร่ำ” ซึ่งจัดเป็นธุรกิจแนวใหม่ ที่บรรดา “สาวสมัย” นิยมกันแต่กระนั้นชีวิตก็ยัง “ยึดติด” กับการเป็น “สาวไทยพุทธ” เพราะยัง ยึดมั่นกับขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่ “คนโบราณไทย” ปฏิบัติกันมาตลอดเลยรู้จักกับการอาราธนา “พระเครื่อง” มาแขวนไว้ในคอโดยอาราธนาวัตถุมงคลที่สร้างโดย “ยอดอริยะสงฆ์” แห่งเมืองย่าโมที่ชาวไทยทั้งแผ่นดินรู้จักดีคือ “หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่” ทั้งนี้ก็เพราะมีบ้านเกิดอยู่ที่ “โคราช” จึงรู้จัก “หลวงพ่อคูณ” มาตั้งแต่ยังเด็กเฉกเช่นชาวเมืองย่าโมทั่วไป

ส่วนเหตุใดจึงศรัทธา “หลวงพ่อคูณ” สาวปุ้ยตอบแบบไม่ต้องคิดเนื่องจาก “ญาติพี่น้อง” ทุกคนต่างนับถือและศรัทธา “หลวงพ่อคูณ” เพราะท่านเป็น “พระสงฆ์” ที่กราบได้อย่างสนิทใจและตลอดชีวิตของท่าน “สร้างแต่สิ่งดีงาม” ให้ “ผู้คน” และ “ท้องถิ่น” ทั้งในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดอื่น ๆ ได้พึ่งพาอาศัยไว้มากมายอย่างเช่น “ถาวรวัตถุ” ของวัดวาอารามหรือ “โรงเรียน” แถมด้วย “โรงพยาบาล” ก็สร้างมาหลายแห่งคิดเป็นเงินก็ประมาณ “น้อง ๆ หมื่นล้าน” กันเลย เพื่อให้เยาวชนไทยตลอดทั้งประชาชนชาวไทย “ทุกระดับ” ได้มีที่เล่าเรียนและพักรักษาตัวยามเจ็บไข้ฉะนั้น “ชาวโคราช” จึงยกให้เป็น “ยอดอริยะสงฆ์” และ “คุณแม่” ก็มักไปทำบุญกับท่านเสมอ ๆ ก็เลย ได้ “วัตถุมงคล” จากท่านมาหลายอย่างหลายรุ่นซึ่งพอได้มา “คุณแม่” ก็จะนำมาให้ลูกสาวคนเดียว ที่ชื่อ “ปุ้ย พิมลวรรณ” คนนี้แขวนคอไว้พร้อมกำชับเวลาจะทำอะไรหรือเวลาจะเดินทางไกล ตลอดทั้งหากมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจคิดอะไรไม่ออก ให้นึกถึง “พระในคอ” แล้วสมองจะโล่งคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เอง
ซึ่งหลังจากปฏิบัติตาม ที่ “คุณแม่” แนะนำกำชับ ไว้แล้วก็มีความเป็นจริงจึงรู้ว่า “พระเครื่อง” มีความศักดิ์ สิทธิ์ที่จะพิสูจน์ไม่ได้คือ ต้องอยู่ในยามคับขัน จึง จะรู้ด้วยจิตสำนึกเองว่าท่าน“ศักดิ์สิทธิ์” แบบใดเพราะเรื่องนี้พูดหรืออธิบายได้ยากต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์เท่านั้นจึงจะเข้าใจ และหลายครั้งหลายหนที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ “อโคจร” ที่ไม่รู้ว่าสถานที่ตรงนั้นมีอะไรแอบแฝงไว้บ้าง ก็จะนำพระเครื่องขึ้นมาอาราธนาบอกกล่าว ขอให้ “สิ่งร้าย ๆ” อย่ามาแพร้วพาลเพราะมาตรง นี้ก็เพื่อทำงานเท่านั้น ไม่ได้มาลบหลู่อะไรใครซึ่งพออาราธนาบอกกล่าวแล้ว การทำงานก็ราบรื่นไม่มีปัญหาอะไรให้ยุ่งยากก็เลยยึดมั่นพระเครื่องมาตลอด และหากไม่สะดวกที่จะนำแขวนคอเพราะการทำงานก็จะพกพาไว้ในกระเป๋าถือ โดยสมัยเป็นเด็กคุณแม่จะ นำเหรียญมาให้แขวน กระทั่งตอนมีครอบครัวคุณแม่ได้มอบ “พระยอดธงเนื้อทองคำ” ที่ “หลวงพ่อคูณ” สร้างเมื่อหลายปีก่อนเป็น “ของขวัญ” ปัจจุบันจึงแขวนเดี่ยวพระยอดธงองค์นี้เป็นประจำเพราะมีคนร่ำลือว่ารุ่นนี้ขลังมาก

ส่วนทางด้านประสบการณ์ที่เกิดกับตัวเองขณะแขวนพระนั้น “ปุ้ย พิมลวรรณ” บอกว่าขอให้เป็นประสบการณ์ “ส่วนตัว” จะเหมาะกว่าเพราะเรื่องทำนองนี้หากไม่เกิดกับใครแล้วก็ยากที่คนอื่นจะเชื่อ อีกทั้งโดยปกติแล้วเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวังตัวประสบการณ์ในลักษณะรุนแรงหรือร้ายแรงจึงไม่มีอะไร

นี่ก็คืออีกหนึ่งความเชื่อของ “สาวยุคดิจิตอลเบ่งบาน” กับการแขวนพระใครจะเอาอย่างก็ไม่มีใครห้ามเพราะเรื่อง “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ของพระเครื่องนั้นเป็น “ความเชื่อของแต่ละบุคคล” ที่จะขอสรุปตอนท้ายตรงนี้ว่าอัน “พระเครื่อง” นั้นหาก “ไม่มีอะไรดี” แล้วก็คงไม่มีใครอยากนำมาแขวนคอหรือพกพาติดตัวแน่นอน.

--------------------------

ถ้าเอ่ยชื่อ “ไอ้หนุ่มลูกทุ่ง” คนดังผู้นี้ว่า “บุญเถิง แก้วศรีนวล” หรือ “บักเถิง” ที่เพื่อน ๆคนลูกทุ่งด้วยกันเรียกขานแล้วรับประกันว่า “น้อยคนนักที่จะรู้จัก” แต่ถ้าเอ่ยชื่อ “มนต์สิทธิ์ คำสร้อย” เชื่อได้เลยว่าคนรู้จัก ทั่วประเทศ เพราะในช่วงปี 38-39 วงการเพลงลูกทุ่งมี “ดาวรุ่งลูกทุ่งดวงใหม่” ที่มาแรงมากเมื่อเพลง “สั่งนาง” ดังสนั่นชนิดไปไหนเป็นได้ยินทั้งจากทางวิทยุและโทรทัศน์รวมทั้งตาม แผงขายเทป ก็เปิดแต่เพลงนี้กันทั่วหน้าชนิดที่เรียกได้ว่า “คนไม่เคยฟังเพลงลูกทุ่ง” ก็ต้องหันมาฟังและ “คนไม่เคยร้องเพลงลูกทุ่ง” ก็ต้องหันมาร้องเช่นกันเนื่องจากเป็นเพลงที่มีลีลาการร้องเป็น “เอกลักษณ์” ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน รวมทั้งเสียงที่ร้องโดยใช้ “ลูกคอเขย่า” เข้ากับเนื้อหาเพลงที่บรรยายถึง “คนรักอย่างสุดรักและสุดหวง” ก็ประทับใจคนฟังดีมากจึงทำให้เพลงนี้ “ดังสนั่นกว่าพลุระเบิด”กันเลย

ซึ่งก่อนที่ “บักเถิง” จะก้าวมาเป็น “ไอ้หนุ่มลูกทุ่งคนดัง” ภายใต้ชื่อ “มนต์สิทธิ์ คำสร้อย” ก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง โดยเริ่มต้นไปทำงานเป็น “เด็กรับรถ-เสิร์ฟอาหาร” แถมด้วย “เด็กล้างจาน” ตามร้านอาหารที่มีดนตรีและนักร้องในตัวเมืองมุกดาหาร เพื่ออาศัยฟังเพลงพร้อมหัดร้องไปด้วยตามแบบ “ครูพักลักจำ” กระทั่งปี 2537 จึงย้ายจากมุกดาหารไปเป็น “เด็กเสิร์ฟ” ร้านอาหารที่ จ.อุบลราชธานี อยู่ระยะหนึ่งจึงไปสมัครประกวดร้องเพลงลูกทุ่งในงานประจำปีของชาวอุบลราชธานีที่เวที ทุ่งศรีเมือง ปรากฏว่าการประกวดครั้งนั้น “บักเถิง” คว้ารางวัล “รองชนะเลิศอันดับ 1” มาครองได้สร้างความดีใจให้กับเจ้าตัวยิ่งนัก เพราะผลพวงที่ไปประกวดร้องเพลงครั้งนั้นทำให้เสียงของไอ้หนุ่มลูกทุ่งจาก “อ.นิคมคำสร้อย” เข้าหูของ “ดีเจ มนต์รัก กลิ่นบุป ผา” นักจัดรายการเพลงลูกทุ่งชื่อดังแห่งเมืองอุบลฯที่มาชักชวนไปสร้างชื่อในกรุงเทพฯ “บักเถิง” ก็ไม่รีรอรีบตอบรับพร้อมหอบหิ้วเสื้อผ้าติดตาม “ดีเจมนต์รัก” ที่นำไปฝากค่ายเพลงลูกทุ่งในกรุงเทพฯหลายค่ายแล้วไปสะดุดหูของ “นายห้างสุเทพ” เจ้าของค่าย “ชัวร์ออดิโอ” จึงอ้าแขนรับและให้อัดเสียงเป็นครั้งแรกในชุด “ขายควายช่วยแม่” พร้อมตั้งชื่อให้ว่า “มนต์สิทธิ์ คำสร้อย” โดยใช้ชื่อท่อนท้ายของ อ.นิคมคำสร้อย เป็นนามสกุล

ทว่าอัลบั้มชุดแรก “ขายควายช่วยแม่” ก็แค่สร้างชื่อได้ระดับหนึ่งเท่านั้นแต่ “ชัวร์ออดิโอ” ก็ไม่ละทิ้งให้อัดเสียงชุดสอง “สั่งนาง” ต่อทันทีและพอทำการโปรโมตชื่อของ “มนต์สิทธิ์ คำสร้อย” ก็เป็นที่รู้จักของนักฟังเพลงลูกทุ่งทุกระดับไปทันทีเพราะช่วงนั้นเพลง “สั่งนาง” ดังสนั่นลั่นไปทุกทุ่งทำให้ “บักเถิง” มีโอกาสไปร่วมโชว์เพลงในงานฉลอง “วันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อคูณที่วัดบ้านไร่” จึงฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยการฝังตะกรุดทองคำไว้ที่ท้องแขน 2 ดอก “หลวงพ่อคูณ” จึงมอบภาพถ่ายขาวดำขนาดนิ้วครึ่งด้านหลังมี “เส้นเกศา-จีวร-ชานหมาก” ของหลวงพ่อติด ไว้ด้วยให้ “มนต์สิทธิ์” ที่นำไปเลี่ยมทองอาราธนาขึ้นแขวนเดี่ยวเพื่อคุ้มครองตัวเองเพราะช่วงนั้นชื่อของ “มนต์สิทธิ์” โด่งดังมากพร้อมมีงานโชว์เพลงยาวเหยียดไม่เว้นแต่ละวัน จึง
หลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถเพื่อตระเวนโชว์เพลงตามที่ “เจ้าภาพ” จัดหาไป

แต่แล้ววันหนึ่งมีโอกาสไปโชว์เพลงใกล้บ้านเกิดก็เลยมีอาการ “คิดถึงบ้าน” ดังนั้นพอโชว์เพลงเสร็จจึงบึ่งรถมุ่งสู่ “อ.นิคมคำสร้อย” บ้านเกิดเพื่อเยี่ยมญาติพี่น้อง ทว่าขณะรถตะบึงเข้าเขตเมืองมุกดาหารรถตู้ที่นั่งไปกลับเสียหลักพลิกคว่ำถลาลงคูน้ำข้างถนนที่ลึกลงไปประมาณ 3 เมตร ไอ้หนุ่ม “มนต์สิทธิ์” ตกใจมากแต่ก็ยังตั้งสติได้จึงระลึกนึกถึงหลวงพ่อคูณขอให้ท่านช่วย ซึ่งนับเป็นเรื่องอัศจรรย์เพราะก่อนที่รถจะตกลงไปในคูน้ำกลับไถลไปติด “กอไผ่ขนาดใหญ่” ที่กั้นอยู่ระหว่างคูน้ำและคันถนนแล้วสงบนิ่งเหมือนมีใครมาช่วยฉุดไม่ให้ตกลงไป เพราะหากรถตกลงไปแล้วก็ไม่รู้ว่าผู้คนในรถรวมทั้ง “มนต์สิทธิ์” ผลจะลงเอยแบบใดซึ่งพอออกจากรถพร้อมสำรวจไม่มีผู้ใดบาดเจ็บไอ้หนุ่ม “มนต์สิทธิ์” จึงยกมือท่วมหัวพร้อมระลึกนึกถึงหลวงพ่อคูณเพราะเชื่อมั่นว่า “ท่านบันดาลให้ปลอดภัย” ซึ่งผลจากรถพลิกคว่ำครั้งนั้นแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ชื่อของ “มนต์สิทธิ์” ก็กลายเป็น “ข่าวหน้าหนึ่ง” ดังไปทั่วทิศกับอุบัติเหตุครานั้นตามประสา “คนดัง” ทั่วไปโดยเจ้าตัวย้ำว่า “รอดมาได้ก็เพราะแขวนรูปถ่ายหลวงพ่อคูณ” แน่นอน.
“ภวันตุเม”

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่มีประสบการณ์ การบูชาวัตถุมงคล ของ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ. นครราชสีมา แล้วคุณล่ะไม่อยากมีไว้บูชาบ้างหรือ?